ข่าวออนไลน์ รวมข่าววันนี้ เป็นการรวบรวมข่าวจากเว็บไซต์ต่างๆ ข่าวเด่นประเด็นร้อน ข่าวสารความเคลื่อนไหวทั้งในและต่างประเทศ คลิปเด็ด คลิปดัง นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร สู่ผู้ชมทั่วโลกผ่านสื่อออนไลน์ ไร้พรมแดน ไร้ผู้บงการ ไร้การรีดไถเงิน เป็นอิสระด้านความถูกต้อง นำเสนอข่าวด้วยความโปร่งใส เพื่อสังคมไทยปัจจุบัน

"เกิตเซ่"ฮีโร่ซัดช่วงต่อเวลาช่วย "เยอรมนี" ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัย 4




การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2014 ที่ประเทศบราซิล ประจำคืนวันที่ 13 ก.ค. ตามเวลาประเทศไทย ที่สนามเอสตาดิโอ โด มาราคาน่า เมืองริโอ เดอ จาเนโร เป็นเกมนัดชิงชนะเลิศระหว่าง “อินทรีเหล็ก”เยอรมนี จากโซนยุโรป พบกับ “ฟ้าขาว”อาร์เจนตินา จากโซนอเมริกาใต้ 

 ก่อนการแข่งขันเริ่มต้นประมาณ 1 ชม. ได้มีพิธีปิดการแข่งขันสุดอลังการ ซึ่งทางเจ้าภาพมาในธีมมหกรรมเทศกาลครั้งใหญ่ โดยเริ่มต้นจากการเต้นระบำสไตล์แซมบ้า โดยมีช่วงที่แดนเซอร์โชว์ลีลาพร้อมถือธงชาติของทั้ง 32 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันไว้ด้วย จากนั้นจึงต่อด้วยการแสดงในเพลง “La La La (Brazil 2014)” ของชากีรา ป็อปสตาร์สาวชื่อดังชาวโคลอมเบีย ที่เคยขึ้นแสดงในพิธีปิดของปี 2006 กับ 2010 ส่วนในปีนี้ขึ้นโชว์ร่วมกับ คาร์ลินญอส บราวน์ ซูเปอร์สตาร์แซมบ้า ซึ่งบทเพลงดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งเพลงประจำการแข่งขันปีนี้ จากนั้นจึงต่อด้วยการแสดงของ คาร์ลอส ซานตานา นักกีตาร์ระดับตำนานชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน ที่ขึ้นโชว์ร่วมกับ ไวเคลฟ ฌอง นักร้องฮิพฮอพชื่อดัง ก่อนจะต่อด้วยเมดเลย์เพลงจาก อเล็กซานเดร ปิเรส และอิเวเต ซานกาโล สร้าง ความสนุกสนานให้แฟนบอลก่อนเริ่มเกมอย่างยิ่ง นอกจากนี้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดี รัสเซียเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งต่อไปปี 2018 และ อังเกล่า เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีของเยอรมัน ยังเข้ามาชมเกมนัดนี้ด้วย 

 เส้นทางที่ผ่านมา “อินทรีเหล็ก” รอบแบ่งกลุ่มถล่มโปรตุเกส 4-0 เสมอกานา 2-2 ชนะสหรัฐอเมริกา 1-0 เก็บได้ 7 คะแนน เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มจี รอบ 16 ทีมสุดท้ายเสมอแอลจีเรียใน 90 นาที 0-0 ก่อนจะชนะในช่วงต่อเวลา 2-1 รอบก่อนรองชนะเลิศชนะฝรั่งเศส 1-0 รอบรองชนะเลิศถล่มบราซิล 7-1
 
 ขณะที่ “ฟ้าขาว” รอบแบ่งกลุ่มคว้าแชมป์กลุ่มเอฟ ชนะบอสเนีย 2-1 ชนะอิหร่าน 1-0 ชนะไนจีเรีย 3-2 เก็บ 9 แต้มเต็ม รอบ 16 ทีม เสมอสวิตเซอร์แลนด์ใน 90 นาที 0-0 ก่อนชนะช่วงต่อเวลา 1-0 รอบก่อนรองชนะเลิศชนะเบลเยียม 1-0 รอบรองชนะเลิศเสมอฮอลแลนด์ใน 120 นาที 0-0 ก่อนชนะจุดโทษ 4-2 

 โดยนัดนี้เป็นการเข้าชิงชนะเลิศหนที่ 8 ของเยอรมนี กลายเป็นเจ้าของสถิติเข้าชิงมากที่สุดในโลกแต่เพียงชาติเดียว โดยก่อนหน้านี้ได้แชมป์โลก 3 สมัยในปี 1954, 1974 และ 1990 ส่วนรองแชมป์โลกได้ในปี 1966, 1982, 1986 และ 2002 ขณะที่อาร์เจนตินาเข้าชิงเป็นหนที่ 5 หลังคว้าแชมป์โลก 2 สมัยในปี 1978 และ 1986 กับรองแชมป์โลกในปี 1930 และ 1990 คู่นี้เคยเจอกันมา 20 ครั้ง อาร์เจนตินาเหนือกว่าชนะ 9 ครั้ง เสมอกัน 5 ครั้ง เยอรมนีชนะ 6 ครั้ง โดยการเจอกันหนล่าสุดเกิดขึ้นในเกมกระชับมิตรเมื่อปี 2012 เยอรมนีพ่ายคาถิ่น 1-3 ส่วนการเจอกันในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเกิดขึ้นในรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 เยอรมนีถล่ม 4-0 นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังเคยเจอกันในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกมา 2 หนในปี 1986 และ 1990 โดยในปี 1986 อาร์เจนตินา ชนะ 3-2 แต่เยอรมนีมาล้างแค้นในปี 1990 เอาชนะไป 1-0 

 สำหรับเกมนี้ “อินทรีเหล็ก” ไม่มี ชโคดราน มุสตาฟี่ ที่บาดเจ็บหมดสิทธิ์ลงเล่นในช่วงที่เหลือของบอลโลกครั้งนี้ ขณะที่ ซามี่ เคดิร่า มีชื่อเป็นตัวจริงในทีแรก แต่กับบาดเจ็บระหว่างอบอุ่นร่างกาย ทำให้ต้องส่ง คริสตอฟ คราเมอร์ ลงตัวจริงแทน โดยใช้แผนการเล่น 4-3-3 มานูเอล นอยเออร์ เป็นผู้รักษาประตู กองหลังใช้ ฟิลิปป์ ลาห์ม, เยอโรม บัวเต็ง, มัตส์ ฮุมเมิลส์, เบเนดิกต์ โฮเวเดส กองกลาง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, คริสตอฟ คราเมอร์, โทนี่ โครส ส่วนแดนหน้าเป็นการประสานงานกันระหว่าง เมซุต โอซิล, โธมัส มุลเลอร์, มิโรสลาฟ โคลเซ่ 

 ทางด้าน “ฟ้าขาว” ไม่มีชื่อ อังเคล ดิ มาเรีย ลงตัวจริง เนื่องจากยังไม่หายเจ็บดี โดยจัดทัพ 4-3-3 เซอร์คิโอ โรเมโร่ เป็นผู้รักษาประตู กองหลังประกอบด้วย พาโบล ซาบาเลต้า, เอเซเกล การาย, มาร์ติน เดมิเคลิส, มาร์กอส โรโฮ กองกลางใช้ เอ็นโซ่ เปเรซ, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ลูคัส บิญ่า ส่วนแดนหน้าเป็นการประสานงานกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่, กอนซาโล่ อิกวาอิน, เอเซเกล ลาเวซซี่ 

 ขณะเดียวกันยังมีตัวแทนเด็กไทย “น้องอับบาส”ด.ช.ชาญชวิน หมัดนุรักษ์ วัย 9 ขวบ จากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งผ่านการคัดเลือกตามโครงการแมคโดนัลด์ เพลเยอร์ เอสคอร์ต มาจูงมือนักเตะลงสนามด้วย โดยน้องอับบาสได้จูงมือ เอเซเกล ลาเวซซี่ กองหน้าอาร์เจนตินา
 
 เริ่มเกมมา 4 นาที เป็นอาร์เจนตินาได้ลุ้นก่อน กอนซาโล่ อิกวาอิน หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนซัดมุมแคบ แต่บอลผ่านหน้าปากประตูไป จากนั้นเกมสูสีกันและไม่สามารถหาจังหวะจบได้ทั้งคู่ จนนาที 21 เยอรมนีเกือบแจกของขวัญให้คู่แข่ง โทนี่ โครส โหม่งบอลจากกลางสนามคืนหลังไม่ดี ทำให้ กอนซาโล่ อิกวาอิน โฉบตัดบอลหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงเหน่งๆ แต่บอลหลุดกรอบอย่างไม่น่าเชื่อ

 จากนั้นรูปเกมเป็นเยอรมนีที่ดูเหนือกว่า ทำเกมบุกเข้าใส่ได้มากกว่า ขณะที่อาร์เจนตินาคอยรับและสวนกลับ จนกระทั่งนาทีที่ 29 ทัพฟ้าขาวได้โอกาสลุ้น โดยบอลมาอยูที่ ลิโอเนล เมสซี่ บริเวณกลางสนาม ก่อนส่งต่อไปขวาสุดให้ ลาเวซซี่ พาบอลเลี้ยงจี้มาหน้ากรอบเขตโทษแล้วปาดเข้ากลางมาให้ อิกวาอิน แปเข้าประตูไป แต่น่าเสียได้ที่ผู้กำกับเส้นยกธงให้เป็นลูกล้ำหน้าของอิกัวอินก่อน และในนาทีเดียวกันนี้ เยอรมนี ต้องเปลี่ยนเอา คราเมอร์ ออกแล้วส่ง อังเดร ชูร์เล่ ลงสนามแทน เนื่องจาก คราเมอร์ มีอาการบาดเจ็บ
 
 ยังเป็นเยอรมนีที่ครองบอลได้มากกว่าเล็กน้อย และมีโอกาสลุ้นทำประตูบ้าง นาที 36 โธมัส มุลเลอร์ พลิกตัวหลบผู้เล่นอาร์เจนตินาทางริมเส้นด้านซ้ายมาได้สวย ก่อนปาดมาที่หน้าปากเขตโทษให้ ชูร์เล่ วิ่งเข้ามาซัดด้วยขวาจังหวะเดียว บอลพุ่งจะเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่โรเมโร่ ผู้รักษาประตูอาร์เจนติน่า ยังบินมารับไว้ได้ 

 เกมยังคงสนุกสูสี นาที 39 ลิโอเนล เมสซี่ ลากบอลมาจากริมเส้นด้านขวา แล้วใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบ ฮุมเมิลส์ เข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนแตะบอลเข้ากลาง แต่น่าเสียดายที่เพื่อนเติมขึ้นมาช้า และเป็น เยอโรม บัวเต็ง ที่สกัดบอลพ้นอันตรายออกไปได้

 ช่วงเวลาที่เหลือในครึ่งแรกกลับมาเป็นเยอรมนีที่ครองบอลเปิดเกมเข้าใส่ได้มากกว่าและมีโอกาสลุ้นประตูหลายครั้งแต่สุดท้ายยังขาดๆเกินๆ ทำให้จบครึ่งแรกทั้งสองทีมยังเสมอกันอยู่ 0-0 

 ครึ่งหลังอเลฮานโดร ซาเบญ่า กุนซืออาร์เจนตินา เปลี่ยนแผนการเล่นทันที โดยส่ง เซร์คิโอ อเกโร่ ลงมาแทน ลาเวซซี่ ซึ่งทำให้รูปเกมของอาร์เจนตินาดีขึ้นทันตา นาที 46 เมสซี่ ได้บอลทะลุหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนได้ยิงด้วยซ้ายข้างถนัด แต่บอลหลุดเสาสองออกไปอย่างน่าเสียดาย  

 หลังจากนั้นรูปเกมกลับมาสูสีเหมือนเดิม นาที 57 อาร์เจนตินาได้จังหวะสวนกลับ บอลลอยโด่งและเด้งสูงเข้าไปในกรอบเขตโทษ อิกวาอิน วิ่งมาจะรับบอลแต่ นอยเออร์ ยังคงอ่านเกมได้ ออกมากระโดดชกบอลทิ้งออกไป แต่จังหวะกระโดด เข่านอยออร์ พุ่งเข้าใส่เต็มคางอิกวาอิน ล้มทั้งยืนลงไปน็อคคาสนาม โชคยังดีที่เจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรมาก ก่อนจะลุกขึ้นมาโวยว่าทำไมไม่ได้ฟาล์ว
 
 โอกาสลุ้นประตูยังเป็นอาร์เจนตินาที่ทำได้จะแจ้งกว่านาที74 ลิโอเนล เมสซี่ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงวนจากทางริมเส้นด้านขวา เข้ามาหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนตัดสินใจปั่นด้วยซ้าย แต่บอลหลุดกรอบออกไปนิดเดียว จากนั้นนาที 77 ฟ้าขาวแก้เกมอีกครั้งโดยส่ง โรดริโก้ ปาลาซิโอ ลงมาแทน อิกวาอิน 
 
 เข้าสู่นาทีที่ 80 กลับมาเป็นฝั่งเยอรมนี ที่ดาหน้าเข้าใส่อาร์เจนตินา อย่างต่อเนื่อง เมซุต โอซิล ได้บอลหลุดโล่งๆมาทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนเปิดเลียดย้อนมาหน้าปากเขตโทษให้ โทนี่ โครส บรรจงแปเล่นทางด้วยขวาไปที่เสาแรก แต่บอลยังหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย 
 
 ล่วงเข้านาที 85 อาร์เจนตินา เปลี่ยนตัวเป็นคนสุดท้ายโดยส่ง เฟอร์นันโด กาโก้ ลงมาแทน เปเรซ ก่อนที่ 3 นาทีต่อมา เยอรมนี จะแก้เกมบ้างโดยส่ง มาริโอ เกิตเซ่ ลงมาแทน โคลเซ่ แต่ช่วงเวลาที่เหลือทั้ง 2 ทีมก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ จบ 90 นาทีเสมอกัน 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที

 เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรกเป็นเยอรมนีที่เปิดเกมบุกเข้าใส่ก่อนขณะที่อาร์เจนตินา คอยจังหวะสวนกลับ นาที 92 อเกโร่ ได้บอลหลุดมาถึงสุดเส้นริมเขตโทษด้านขวา ก่อนกึ่งยิงกึ่งผ่านมาหน้าประตู แต่บอลหลุดผ่านออกไปแบบไม่มีใครเข้ามาซ้ำ จากนั้นนาที 96 เป็นโอกาสลุ้นของอาร์เจนตินาอีกครั้ง มากอส โรโฮ วางบอลจากกลางสนามมาหน้ากรอบเขตโทษ บอลเลยข้ามหัว ฮุมเมิลส์ มาถึง ปาลาซิโอ พักอกเอาบอลลงก่อนแตะหนึ่งจังหวะ แต่บอลห่างตัวเกินไป นอยเออร์ จึงวิ่งออกมาบังทางบอลได้ทัน ทำให้ ปาลาซิโอ ไม่มีทางเลือก ต้องกระดกบอลข้ามหัว นอยเออร์ สุดท้ายบอลไม่ตรงกรอบ หลังจากนั้นเป็นเยอรมนี ที่ครองบอลได้มากกว่า แต่ก็ยังเจาะแนวรับอาร์เจนตินาไม่ได้ จบช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรก ยังเสมอกัน 0-0 

 ต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง นาที  113 แฟนบอลเยอรมนี ได้เฮลั่น เมื่อ ชูร์เล่ พาบอลจากกลางสนามไปที่ริมเส้นด้านซ้าย ก่อนเปิดบอลมาหน้าประตู ให้เกิตเซ่ พกอกหนึ่งจังหวะก่อนกระโดดซัดด้วยซ้ายสวนตัว โรเมโร่ เข้าไปตุงตาข่ายให้เยอรมนีขึ้นนำ 1-0 

 ช่วงเวลาที่เหลืออาร์เจนตินาพยายามบุกเพื่อพังประตูตีเสมอให้ได้แต่สุดท้ายก็ยังเจาะแนวรับเยอรมนีไม่สำเร็จหมด 120 เยอรมนี ชนะ อาร์เจนตินา 1-0 คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 4  พร้อมรับเงินรางวัล  35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.1 พันล้านบาท ส่วนอาร์เจนตินารองแชมป์ได้ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 800 ล้านบาท